วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เจาะลึกตระกูล J

มาดูกันซิว่าเครื่องตระกูลJ ที่เห็นในบ้านเรา จะอยู่ในรถอะไรบ้าง ขออธิบายก่อนว่าเจ้าของรถTOYOTA SUPRA ที่อยู่ในความฝันของหลายๆคน จริงแล้วมีแต่เครื่อง 2JZ-GTE นั้นอยู่ ใน BODY อื่น เรามาดูกันซิว่าเครื่องตระกูล J พวกนี้มีอยู่ในรถอะไรบ้างและมีแรงม้าเท่าไร ในแต่ละรุ่น

เครื่องยนต์ 1JZ-GE
เจ้า เครื่อง 1JZ มีด้วยกัน 2 รุ่น คือเจ้าเครื่อง 1JZ-GE มีความจุ 2500cc. เครื่องตัวนี้จะไม่มี TURBO ผลิตมาเมื่อปี 95 ส่วนอีกรุ่นเปงเครื่อง 1JZ-GTE เครื่องตัวนี้จะมี TURBO พ่วงแบบ TWIN TURBO เครื่องตัวนี้เกิดมาพร้อมกับเครื่อง 1JZ-GE มีความแต่งต่างกันแค่มี TURBO กับ ไม่มี TURBO เท่านั้น
เครื่อง 1JZ-GE จะมีในรถด้วยกัน 3 รุ่นเริ่มจาก
1. รุ่น MARK II เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ รหัสตัวถังคือ JZX93
2. รุ่น CHASER เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ รหัสตัวถังคือ JZX90-B และ JZX93-B
3. รุ่น CRESTA มีรหัสตัวถัง JZX90-C
ทั้ง 3 รุ่นนี้เป็นรุ่นซีดานขนาดกลาง
มาปี 96 ทางTOYOTA ได้มีการปรับเปลี่ยนแปลงตัวถังใหม่ให้มีรูปร่างทันสมัยขึ้น ส่วนของตัวเครื่องก็ถูกปรับปรุงด้วย ทำให้มีแรงบิดละแรงม้ามากขึ้นรหัสของทั้ง 3 รุ่นก็ถูกเปลี่ยนใหม่เริ่มจาก ตัวMARK II ไม่เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ รหัสตัวถังใหม่คือ JZX 100-A ในรุ่นCHASER รหัสตัวถังใหม่คือ JZX100-B และ JZX105-B ยังเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และตัว CRESTA จะมีรหัสตัวถังเป็น JZX100-C จนถึงปี 99 MARK IIได้เปลี่ยนมาใช้เครื่อง 2JZ-GE เรามาดู SPEC กันดีกว่า


SPEC 1JZ-GE ตัวแรก
เครื่องยนต์ 1JZ-GE (ต่ำกว่าปี 96)
แบบ DOHC 6 สูบแถวเรียง
ความจุกระบอกสูบ 2491 cc.
แรงม้า (PS/RPM) 180/6000
แรงบิด (KG-M/RPM) 24.0/ 4800
ความกว้าง x ช่วงชัก 86.0 x 71.5
กำลังอัด 8:1
ระบบส่งกำลัง(เกียร์) 4 A/T
อัตราเฟืองท้าย 4.100
4WD 4.300
ขนาดยาง 195/ 65 R15


SPEC 1JZ-GE ตัวสอง
เครื่องยนต์ 1JZ-GE (ปี 96 ขึ้นไป)
แบบ DOHC 6 สูบแถวเรียง
ความจุกระบอกสูบ 2491 cc.
แรงม้า (PS/ RPM) 200/6000
แรงบิด (KG-M/RPM) 26.0/4800
ความกว้าง x ช่วงชัก 86.0 x 71.5
กำลังอัด 10.5:1
ระบบส่งเกียร์ (เกียร์) 4A/T
อัตราเฟื่องท้าย 4.100
ขนาดยาง 195/65 R15
ข้อสังเกตในการดูเครื่องยนต์ 1JZ-GE รุ่นเก่าและรุ่นใหม่ต่างกันตรงที่ ปี 95 ลงไปฝาครอบจะเป็นสีบรอนซ์ แต่ปี 96 ขึ้นมาฝาครอบจะเป็นสีดำ วิธีดูง่ายๆ คือสายหัวเทียนจะบอกปีที่ผลิตไว้


เครื่องยนต์ 1JZ-GTE
มีวางอยู่ใน BODY เดียวกับ 1JZ-GE แต่จะมีรหัสตัวถังแตกต่างแค่นี้เองสำหรับเครื่อง 1JZ-GTE จะอยู่ในรถดังต่อไปนี้
1. รุ่น MARK II รหัสตัวถังคือ JZX90-A
2. รุ่น CHASER คือ JZX90-B และ JZX93-B
3. รุ่น CRESTA มีรหัสตัวถังคือ JZZ30-A
นอก จากจะวางในตัว CHASER แล้วยังวางในตัว MARK II ใน BODY JZX100-A วางมาเรื่อยๆ จนมาถึงปี 99 ได้เปลี่ยนไปวาง ใน TOYOTA CROW รหัส JZS171-A และยังวางอยู่ใน CHASER รหัส JZX100-B เหมือนกัน เรามาดู SPEC กันดีกว่า


SPEC 1JZ-GTE ตัวแรก
เครื่อง ยนต์ 1JZ-GTE (ต่ำกว่าปี 95)
แบบ DOHC 6 สูบแถวเรียง
ความจุกระบอกสูบ 2491 cc
แรงม้า(PS/ RPM) 280/6200
แรงบิด (KG-M/RPM) 37.0/4800
กำลังอัด 8.5:1
ระบบส่ง(เกียร์) 5A/T
อัตราเฟื่องท้าย 3.727
ขนาดยาง 225 / 55 R16


SPEC 1JZ-GTE ตัวสอง
เครื่อง ยนต์ 1JZ-GTE
แบบ DOHC 6 สูบแถวเรียง
ความจุกระบอกสูบ 2491 cc
แรงม้า(PS/ RPM) 280 / 6200
แรงบิด (KG-M/RPM) 37.0 / 4800
กำลังอัด 9:1
ระบบส่ง(เกียร์) 5M/T
อัตราเฟื่องท้าย 3.727
ขนาดยาง 225 / 55 R16


เครื่องยนต์ 2JZ
เรามาดูเจ้าของเครื่องตัวโหดรหัส 2JZ ที่มีลูกเล่นให้วัยแรงได้เล่นกันคือ เป็นเครื่องยนต์ขนาดความจุ 3000cc. ไม่มี TURBO รหัส 2JZ ส่วนอีกตัวมีขนาดความจุเท่ากันแต่ติด TURBO 2 ลูก (TWINTURBO) เครื่องยนต์เหล่านี้จะมีอยู่ในรถประเภท สปอร์ต ซีดาน รวมไปถึงเจ้าตัวดังรหัส SUPRA SZ-R นอกนั้นยังมีวางในรหัส JZA80-A นอกจากตัวเรา SPORT SURRA แล้วยังมีใน SOARER JZZ31-A,CROWN 1JZS155-A, ARISO JZS147-B, CAESTE JZX101-C, MARK II JZX101-A จนถึงปัจจุบัน


SPEC 2JZ-GE
เครื่อง 2JZ-GE (COARER)
เครื่องยนต์ 2 JZ-GE
แบบ DOHC 6 สูบแถวเรียง
ความจุกระบอกสูบ 2997 cc
แรงม้า(PS/ RPM) 225 / 6200
แรงบิด (KG-M/RPM) 29.0 / 4800
ความกว้าง x ช่วงชัก 86.0 x 86.0
กำลังอัด 10:1
ระบบส่ง(เกียร์) 5 M/T
อัตราเฟื่องท้าย 4.083
ขนาดยาง 225 / 50 ZR16, 245/50 ZR16


เครื่อง 2JZ-GE ปี 95 (CROM)
เครื่อง ยนต์ 2JZ-GE
แบบ DOHC 6 สูบแถวเรียง
ความจุกระบอกสูบ 2997 cc
แรงม้า(PS/ RPM) 220 / 5600
แรงบิด (KG-M/RPM) 30 / 4000
ความกว้าง x ช่วงชัก 86.0 x 86.0
กำลังอัด 10:5:1
ระบบส่ง(เกียร์) 5 M/T , 5 A/T
อัตราเฟื่องท้าย 3.909
ขนาดยาง 225 / 50 ZR16, 245/50 ZR16


เครื่อง 2JZ-GE ปี 95 (ARISTO)
เครื่อง ยนต์ 2JZ-GE
แบบ DOHC 6 สูบแถวเรียง
ความจุกระบอกสูบ 2997 cc
แรงม้า(PS/ RPM) 230 / 6000
แรงบิด (KG-M/RPM) 29.0 / 4800
ความกว้าง x ช่วงชัก 86.0 x 86.0
กำลังอัด 10:1
ระบบส่ง(เกียร์) 4 A/T
อัตราเฟื่องท้าย 4.083
ขนาดยาง 225 / 50 ZR16, 245 / 50 ZR16


เครื่อง 2JZ-GE ปี 98 (ARSTO และ SOARER)
เครื่อง ยนต์ 2 JZ-GE
แบบ DOHC 6 สูบแถวเรียง
ความจุกระบอกสูบ 2997 cc
แรงม้า(PS/ RPM) 230 / 6000
แรงบิด (KG-M/RPM) 31.0 / 4800
ความกว้าง x ช่วงชัก 86.0 x 86.0
กำลังอัด 10:5:1
ระบบส่ง(เกียร์) 5 M/T
อัตราเฟื่องท้าย 4.083
ขนาดยาง 225 / 50 ZR16, 245 / 50 ZR16


เครื่องยนต์ 2JZ-GET
เป็นเครื่องยอดฮิตที่ใช้ในการแข่งขันมากที่สุด วัยแรงส่วนใหญ่รู้จักดี เครื่องยนต์ตัวนี้จะถูกวางอยู่ใน รถ ARISTO รหัส JZS147-B กับ SUPRA รหัส JZA80-A เพียง 2 รุ่นนี้จนถึงปัจจุบันยังคงให้เครื่องยนต์ตัวนี้อยู่แต่จะมีแรงบิดเพิ่มขึ้น เพราะประเทศผู้ผลิตจะถูกกำหนดแรงม้าห้ามเกิน 280 แรงม้า (กฎหมายกำหนด) แต่ไม่ห้ามเรื่องบิด จึงมีการพัฒนาในเรื่องของแรงบิตเพียงอย่างเดียวเรามาดูกันซิว่ามีแรงบิด เพิ่มเท่าไร


SPEC 2JZ-GE
เครื่อง 2JZ-GTE (SUPRA และ ARISTO )
เครื่องยนต์ 2 JZ-GTE
แบบ DOHC 6 สูบแถวเรียง
ความจุกระบอกสูบ 2997 cc
แรงม้า(PS/ RPM) 280 / 5600
แรงบิด (KG-M/RPM ) 44.0 / 3600
ความกว้าง x ช่วงชัก 86.0 x 86.0
กำลังอัด 8:5:1
ระบบส่ง(เกียร์) 6 M/T , 4A/T
อัตราเฟื่องท้าย 43.769 , 3.266
ขนาดยาง 225 / 55 ZR16,235 / 45 ZR17


เครื่อง 2JZ-GTE ปี 98 ขึ้นไป (SUPRA และ ARISTO)
เครื่อง ยนต์ 2 JZ-GTE
แบบ DOHC 6 สูบแถวเรียง
ความจุกระบอกสูบ 2997 cc
แรงม้า(PS/ RPM) 280 / 5800
แรงบิด (KG-M/RPM) 46.0 / 3600
ความกว้าง x ช่วงชัก 86.0 x 86.0
กำลังอัด 8:5:1
ระบบส่ง(เกียร์) 6 M/T, 5 M/T
อัตราเฟื่องท้าย 3.769
ขนาดยาง 235 / 45 R17, 255 / 40 ZR17


คงจะเห็นแล้วใช่ไหมครับว่า SPEC ของเครื่องตระกูลนี้เป็นรอย่างไรกันบ้าง เวลาเพื่อนๆไปหาซื้อเครื่องก็ขอให้ได้มาครบๆนะครับ เช่น ชุดสายไฟกล่อง (ECU) ท่อลม เพราะถ้ามาไม่ครบเวลาติดเครื่องแล้วอาจทำให้รถสะดุด หรือไม่ก็มีแรงม้าไม่ตรง SPEC ที่กำหนดไว้ ถ้าชอบรุ่นไหนก็ลองวางดูแล้วกัน แต่ขอเตือนเรื่องระบบช่วงล่าง และระบบเบรก ให้ดีด้วยมิฉะนั้นจะต้องเสียเงินค่าซ้อมท้ายรถชาวบ้านไม่รู้ด้วย

10 รถยนต์เครื่องโรตารี่สุดคลาสสิค

เครื่องยนต์โรตารี่นั้นเป็นเครื่องแบบลูก สูบหมุน(โรเตอร์) โดยมีลักษณะเป็นแบบสามเหลี่ยมอยู่ในวงกลมทำงาน 3 จังหวะคือดูดและคายจะพร้อมกัน อัดอีกจังหวะและระเบิดอีกจังหวะ รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ลูกสูบสามเหลี่ยมหมุนหรือโรตารี่นั้น คนทั่วไปคงจะนึกถึงมาสด้าเป็นหลัก ก็คงไม่แปลกเนื่องจากเป็นยี่ห้อเดียวที่ผลิตเครื่องนี้จนโด่งดังถึงปัจจุบัน การันตีจากรางวัล International Engine of the year 2003 แต่น้อยคนที่จะรู้ว่ามีอีกหลายยี่ห้อที่ใช้เครื่องโรตารี่ตัวนี้เหมือน กัน


1. NSU Wankel spyder ค่ายรถจากเยอรมันนี ผู้บุกเบิกเครื่องโรตารี่โดย ดร. เฟลิกซ์ แวงเคิล นำไปใส่ในรถรุ่น Wankel spyder ปี 1963 เป็นรถสปอร์ตเปิดประทุน วางเครื่องโรตารี่แบบโรเตอร์เดียว 50 แรงม้า ชนะการแข่ง German rally championship แต่ด้วยสาเหตุความจุกจิกของเครื่อง กินน้ำมันมาก ในปี 1967 จึงเลิกผลิต ด้วยยอดจำหน่าย 1,900 คัน


2.NSU RO 80 ในปี 1967 ได้เปิดตัวรุ่น RO 80 เป็นรถซีดานที่ขายดีที่สุดของบริษัทกับตัวเลข 37,398 คัน เครื่อง 2 โรเตอร์ 115 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม.พร้อมกับได้รับเลือกให้เป็นรถยอดเยี่ยมแห่งยุโรปปี 1967 แต่เนื่องจากเครื่องยนต์มีปัญหา ก็เลยชวดรางวัลไป RO 80 ถือว่าเป็นรุ่นสุดท้ายของNSUก็ว่าได้ เพราะหลังจากปี 1977 ออดี้/โฟล์ค ก็ซื้อกิจการไป


3. Mazda Cosmo 110S ผลิตปี 1967 เป็นรุ่นที่จุดประกายความโด่งดังของเครื่องโรตารี่ เครื่อง 2 โรเตอร์ 1 ลิตร แต่เทียบเท่า 2 ลิตรในกระบอกสูบชัก กำลัง 110 แรงม้า 0-100 ใน 9 วินาที ความเร็วสูงสุด 189 กม./ชม. ต่อมาในปี 1972 จึงจับประกบกับเกียร์ธรรมดาอัตราทดชิด 5 จังหวะ แรงม้าเพิ่มเป็น 125 แรงม้า


4. Citroen M35 ปี 1964 มากับรูปลักษณ์ 2 ประตูคูเป้ ช่วงล่างไฮดรอลิก เครื่องยนต์โรเตอร์เดี่ยว 49 แรงม้า 0-100 ภายใน 19 วินาที โดยจับมือกับ NSU ก่อตั้งบริษัท comotor เพื่อผลิตเครื่องโรตารี่


5. Mazda RX-3 ปี 1970 มีทั้งตัวถังซีดานและคูเป้ ซื่งใส่เครื่อง 2 โรเตอร์ 100-120 แรงม้า ซื่งจัดว่าแรงมาก แต่ก็แลกกับอัตราการกินน้ำมันที่ดุเดือดถึง 7กม./ลิตร จึงทำให้เจ้าของหลายคนต้องยอมถอดเครื่องแรงๆออกเลยทีเดียว


6. Audi 100 KKM 871 ปี 1977 สืบโครงการต่อจาก NSU ทำตลาดคล้ายๆกับ NSU RO 80 โดยเป็นซีดานขนาดใหญ่ ใช้ตัวถังรุ่น 100 KKM 871 วางเครื่อง 3 โรเตอร์ 1.5 ลิตร เทียบเท่า 3 ลิตรในกระบอกสูบชัก 170 แรงม้า 0-100ใน 8.5 วินาที รุ่นนี้ไปได้สวยทีเดียว แต่รุ่นต่อมาก็หันไปคบเครื่อง 5 สูบเรียงแทน


7. Citroen GS Birotor ปี 1973 แม้จะมีหน้าตาที่ทันสมัย เครื่อง 2 โรเตอร์ 106 แรงม้า ที่ทำงานดีเยี่ยม ไม่มีปัญหาจุกจิก แต่ยอดขายกลับขายได้แค่ 847 คันเท่านั้น สาเหตุอาจจะมาจากคนทั่วไปยังไม่เชื่อมั่นในเครื่องยนต์และยังติดกับภาพ ลักษณ์เดิมๆ ทำให้โครงการผลิต CX Trirotor ก็ต้องพับเก็บเข้าลิ้นชักไป


8. Mercedes-Benz C111 ปี 1970 ถ้ามองผ่านๆตาบางคนอาจจะนึกว่าเป็นรถ เดอรอลีน Mercedes-Benz C111 เป็นรถต้นแบบผลิตล็อตแรกเพียง 3 คัน 2 คันวางเครื่อง 2 โรเตอร์ วางกลางลำ 1.8 ลิตรเท่ากับ 3.6 ลิตรในลูกสูบชัก กำลัง 300 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 273 กม./ลิตร ส่วนคันที่ 3 มากับเครื่อง 4 โรเตอร์ 2.4 ลิตร ความเร็วสูงสุด 300 กม./ชม. ล็อตที่สองผลิตออกมา(แต่ไม่ระบุจำนวน)กลับใช้เครื่องดีเซลแทน


9. Mazda RX-7 ปี 1978 เป็นรุ่นที่กอบกู้ฐานะทางเศรษฐกิจของมาสด้าและกอบกู้ชื่อเสียงของเครื่อง โรตารี่หลังจากเงียบเหงามานาน รุ่นแรกวางเครื่อง 2 โรเตอร์ 1.1ลิตร 115 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 193 กม./ชม. จนถึงปี 1986 รุ่นนี้มียอดขายทั้งสิ้น 570,500 คัน จากนั้นเว้นช่วงไป 4 ปีจึงเปิดตัว RX-7 เมื่อปี 1990 เครื่องยนต์ 255-280 แรงม้า


10. Mazda RX-8 ปี 2002 มาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่น้อยคนจะบอกว่าไม่สวย บานประตูเปิดออกแบบตู้เสื้อผ้า ไม่มีเสากลาง เครื่องยนต์ Renesis 1.3 ลิตร 2 โรเตอร์ 250 แรงม้า

การเลือกซื้อรถมือสองให้เหมาะกับตัวเรา

การเลือกซื้อรถมือสองให้เหมาะกับตัวเรา


บท ความของผมอาจมีมุมมองที่แตกต่างกับนักเล่นรถระดับเซียนแต่ผมเป็นคนใช้รถ ธรรมดาคนหนึ่งที่ตั้งแต่มาก็นั่งรถมาหลายคันอยู่กับอู่มาตลอดเห็นคนใช้รถแตก ต่างกันไป..ตั้งแต่เฟียต124 จนถึงเบนซ์C220


ก่อนอื่นต้องสำรวจตัวเราเองก่อนว่าเราเป็นผู้ใช้รถแบบไหน..



  1. แบบใช้รถแล้วไม่คิดเปลี่ยน


แบบ นี้คือผู้ที่ใช้รถแล้วคิดว่าซื้อมาไม่คิดขายต่อคือว่าซื้อมาแล้วไม่พบปัญหา จุกจิกมาหรือว่ารับได้กับการซ่อมและเข้าใจธรรมชาติของรถ เช่นเป็นคนขับรถแบบไปเรื่อยๆ ใช้ขับต่างจังหวัดซื้อรถมือสองเครื่อง 1300 cc ก็ยังไหวไม่เชื่อลองไปถามคนใช้รถนิสสันซันนี่FF 1300 หรือว่าใช้มิตซูแชมป์ 1300 ดูได้ นักเล่นรถส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าเป็นรถสมรรถนะต่ำแต่คนที่ควักกระเป๋าซื้อ ตั้งแต่เป็นป้ายแดงหรือคนที่กำลังใช้อยู่ต่างคิดว่านี่แหละใช่เลย…เพราะ คล่องตัว ประหยัด ซ่อมถูก เข้าใจง่าย และไม่จุกจิก ไม่ต้องถนอมอะไรมากมายลองนึกๆกลับไปดูซัก10-20 กว่าปีก่อน รถเครื่อง 1300 ไม่ใช่รถที่น่าเกลียดอะไรเพียงแต่ลักษณะของผู้บริโภคตอนนี้เปลี่ยนไปเท่า นั้น ไม่กี่ปีก่อนผมแนะนำรุ่นน้องที่ต้องออกต่างจังหวัดบางครั้งคราวให้ซื้อรถมือ สองราคาถูกเครื่อง1300 มาคันหนึ่งแต่รุ่นน้องบอกว่ามีคนบอกว่ารถเครื่อง1300ขับต่างจังหวัดต้องจอด พักตลอดทาง แบบนี้แสดงว่าคนพูดไม่เคยขับรถเครื่อง1300 เลย ซึ่งรถ1300 นั้นมีการใช้ในประเทศไทยมากว่า 30 ปีหากขับไม่ได้จริงคงไม่มีการขายยาวนานขนาดนี้ และรถเล็กๆ จะมีบอดี้ที่เล็กทำให้มีอัตราการกินเชื้อเพลิงที่ต่ำและถ้าหากคุณเป็นคนชอบ ใช้ความเร็ว 80-100 km/h ซึ่งเป็นความเร็วที่มีความปลอดภัยสูง เหมาะกับคนเท้าไม่หนักและเป็นรถคันแรก


สรุปถ้าคุณเป็นผู้ใช้รถ ประเภทนี้อาจเลือกรถที่คนไม่นิยมนักแต่ได้รถปีใหม่กว่าในราคาผ่อนสบายหรือ ไม่ต้องผ่อน และซื้อรถสวนกระแสที่คนบอกว่าไม่มีอิมเมจแต่ว่าไม่ต้องนอนสะดุ้งหลบไฟแนนซ์ แบบนี้เหมาะกับคนซื้อรถมาใช้และซ่อมบำรุงษ์ตามปกติ ต่างกับรถมีอิมเมจชอบเปลี่ยนรถบ่อยเพราะถูกยึด …

2. แบบใช้ไปและลองเปลี่ยนไปแต่ไม่แต่งรถ



แบบ นี้คือนักขับรถที่ชอบเปลี่ยนรถบ่อยๆไม่ชอบการซ่อมแซมมากๆและเบื่อเร็วชอบลอง รถยี่ห้อใหม่ๆแบบนี้ควรซื้อรถประเภทซื้อง่ายขายคล่องเช่นพวกตระกูลโตโยต้า ทั้งหลายที่มีการเพราะซ่อมบำรุงษ์ถูกเนื่องจากอะไหล่หาง่ายทั้งใหม่-เก่า- เทียบ-เทียม พวกนี้เล่นง่าย แต่สังเกตให้ดีมีรถก่ำกึ่งกันในสองแบบเช่นนิสสันเป็นรถที่ถูกมองข้ามเช่นบูล เบริด-เซนทรา-ซันนี่ ซึ่งราคาไม่แพงและสมรรถนะเทียบชั้นได้ไม่อายใคร ซึ่งความคุ้มค่าอาจเหนือกว่าถ้าเทียบบาทต่อบาท แต่เป็นรองเรื่องอิมเมจและราคาขายต่อบ้างเท่านั้น


สรุปถ้าคุณเป็น คนแบบนี้ขอย้ำว่าต้องใจเย็นดูรถให้ละเอียดเพราะบางครั้งคิดว่าซื้อมาราคา ตลาดแต่แฝงเรื่องร้ายๆเช่นชนหนัก—เกียร์ออโต้มีปัญหา ฯลฯ อันนี้ทำให้นักเล่นประเภทซื้อง่ายขายคล่องขาดทุนหากนำไปขายต่อตามสไตล์



  1. แบบใช้ไปเปลี่ยนไปและชอบแต่งรถ

  2. หาก คุณเป็นคนประเภทนี้รถ ที่คุณเลือกต้องไม่ใช่รถคันแรกของที่บ้านคุณหรือรถคันแรกของคุณ เนื่องจากคุณต้องมีความรู้เรื่องรถพอดู จะมามือใหม่หรืออาศัยแรงเพื่อนยุไม่ได้ หากคุณเป็นมือใหม่และอ่านบทความนี้แนะนำให้ข้ามไปอ่านข้อต่อไปได้เลยเพราะรถ แต่งสิ่งที่ตามมาคือการซ่อม-เปลี่ยน-ซื้อขายแลกเปลี่ยน ต้องมีประสบการณ์และหมั่นหาความรู้ใหม่อยู่เสมอ แต่ใครเป็นคนประเภทนี้อยู่คงไม่ต้องบอกอะไรมากเพราะคุณต้องมีสิ่งนึงอยู่ แล้วคือความชอบและความ ท้าทาย..รถที่คุณควรเลือกควรเป็นรถที่ไม่ใช่รถตลาดนักหากจะแต่งให้คนมอง เหลียวหลังเพราะหากรถตลาดมาแต่งแล้วต้องท่องว่า…ใจมันรักๆเอาไว้ หากถูกใครมาว่าไม่สวยแต่ไม่ควรแคร์หากแต่งเอาความแรงและสมรรถนะเป็นสำคัญและ ต้องเลิกคิดไปได้เลยว่า วิศวกรโรงงานออกแบบมาดีแล้วเพราะชุดแต่งย่อมดีกว่าเป็นส่วนใหญ่ นักแต่งรุ่นใหญ่ส่วนใหญ่จะเน้นคุณภาพความคุ้มค่าของราคามากกว่ายี่ห้อและ สีสัน อาจจะยอมลดสมรรถนะอื่นลงไปบ้างหากไม่ต้องจ่ายแพงเท่าโดยคิดบาทต่อบาทเป็น ประถม


    สรุปไม่ใช่มือเก๋า ข้ามไปเลย


  3. ชอบรถใจรัก


แบบ นี้คล้ายกับอันบนแต่แตกต่างที่เราจะรักษาความเดิมๆให้มากที่สุดหรือบางทีทำ ให้ขับได้ดีที่สุดมากกว่า ส่วนใหญ่เป็นพวกรถยุโรปและญี่ปุ่นบางรุ่น รถแบบนี้เน้นความเป็นตัวคุณเป็นสำคัญมากกว่าปัจจัยอื่นๆ สิ่งสำคัญคือ ..อีกนั่นแหละไม่ควรเป็นรถคันแรก คุณต้องรู้แหล่งอะไหล่พอสมควรว่ายรถที่ใช้อยู่แหล่งอะไหล่ราคาถูกและคุณภาพ ใช้ได้นั้นควรไปหาที่แหล่งไหนเพราะแต่ละยี่ห้อก็มีแหล่งแตกต่างกันออกไป ที่สำคัญต้องมีช่างที่รู้ใจเพราะบางช่างคนถนัดทำรถยี่ห้อไม่เหมือนกัน ช่างบางคนชอบดัดแปลงยี่ห้อที่ตัวเองคุ้นเคยมาใส่รถเราบางคนทำแล้วดีบางทีทำ แล้วไปกันใหญ่อันนี้สำคัญ และหากเล่นรถพวกนี้ต้องไม่เบื่อ-บ่นกับการเดินหาอะไหล่ เพราะเสน่ห์ของรถพวกนี้คือการดูแล และจะรู้สึกภูมิใจถ้าหากซ่อมแล้วหายแถมยังได้รู้จักคนใหม่ตอนหาอะไหล่และได้ ความรู้ คุณต้องมีรายได้สม่ำเสมอและพอสมควร แต่อนุโลมกับพวกใจรัก ส่วนใหญ่จะเจอคนที่บอกว่ารถนี้ไม่ควรเล่นเพราะหากคิดจะเล่นมันเหมือนการตก หลุมรักเราต้องไม่แคร์ว่าเค้าจะดีหรือไม่ดีและไม่ควรแม้แต่จะคิดทอดทิ้ง(ขาย ต่อ) เพราะราคาไม่ต้องพูดถึงส่วนใหญ่ตกจนราคาคงที่ไปเลย รถพวกนี้สวยมากและสมรรถนะดี ราคามือสองถูก อะไหล่แพงและอาจมีการเสียแฝงอยู่ ราคาขายต่อต่ำมากๆ


สรุป หากสนใจควรตั้งงบในการซ่อมไว้รอแต่ซ่อมเสร็จหายและเลี้ยงดูต่อไม่แพงคิดๆ แล้วคุ้มกว่ามากมาย และถ้าหากคิดจะซื้อมาแล้วขายต่อไม่ควรทำเพราะนอกจากจะขาดทุนมากๆแล้วยังถือ ว่าใจร้ายมากที่ทอดทิ้งไป


เอาเป็นว่าให้คิดว่านี่เป็นอีกบทความ ที่ให้ข้อมูลแต่ไม่อาจฟันธงได้ทุกอย่างที่สำคัญคุณต้องสำรวจตัวคุณเองดูว่า ต้องการอะไร ขาดอะไร ทำให้ตัวเรามีความสุขหรือทุกข์ขอให้โชคดีครับ


เรื่องของยางรถยนต์ที่เราควรรู้

1.ยางหมดอายุหรือยังไม่ใช่ดูที่ดอกยางอย่างเดียวควรดูที่เนื้อยางด้วยว่าแตกร้าวหรือปล่าว

2.การจอดรถอยู่กับที่นานๆควรจะขยับรถบ้างเพื่อไม่ให้ยางเสียรูป

3.ยางดีๆราคาถูกไม่มี

4.ยางแต่ละเส้นมีอายุการใช้งานประมาณ50000กมหรือประมาณ3ปี

5.ยางติดมากับรถไม่ใช่ยางที่ดีเสมอไป

6.ยางของทุกยี่ห้อตอนนี้ถ้าบวมหรือมีปัญหาเกี่ยวกับยางภายใน4ปีสามารถเคลมบริษัทได้

7.ยางบริดสโตนที่ตอนนี้ติดมากับกระบะตัวใหม่แทบทุกรุ่นยางเป็นรุ่นR623จะเป็นจ้ำๆที่หน้ายางล้อหน้าทุกเส้น


Credit :: http://www.one2car.com/Car2Care/read_dtl.aspx?Know_Car_Id=D240820734&Know_Topic_Id=3

การซื้อรถอย่างไรไม่ให้โดนหลอก

การเลือกซื้อรถยนต์สักคันนั้น จะต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคา สมรรถนะ ยี่ ห้อ ฯลฯ ที่จะมาเป็นสิ่งกระตุ้นในการเลือกซื้อ แต่หลักเกณฑ์ในการเลือกซื้อจริง ๆ แล้วมักจะไม่ค่อยตายตัวสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ที่ความพึงพอใจมากกว่า เราจึงนำหลักเกณฑ์อย่างกว้าง ๆ ในการพิจารณาเลือกซื้อรถซึ่งอาจจะช่วยในการตัดสินใจของท่านได้ไม่มากก็น้อย




การเลือกซื้อรถใหม่


- คำนึงถึงงบประมาณ การประกัน ประโยชน์ในการใช้งาน เพื่อจะซื้อรถได้คุ้มค่าที่สุด


- ตรวจเช็คเกี่ยวกับข้อมูลการใช้น้ำมัน เบี้ยประกันการบริหารอุปกรณ์อะไหล่ และค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา


- สำรวจยี่ห้อ ราคา แบบ รุ่น จากนิตยสารที่เกี่ยวกับรถแคตตาล็อกจากร้านตัวแทนจำหน่ายทั่วไป แล้วนำมาเปรียบเทียบข้อมูลต่าง ๆ อย่าพึ่งด่วนสรุปตัดสินใจซื้อ


- เลือกซื้อจากตัวแทนจำหน่ายใหญ่ ๆ ที่น่าเชื่อถือ


- สำรวจพื้นที่ในการใช้สอยในรถ อุปกรณ์อำนวยความสะดวก


- ตกลงกับผู้ขายในเรื่องค่าโอนทะเบียนรถและอื่น ๆ ให้เป็นที่เรียบร้อยและพึงพอใจสำหรับตัวท่านเอง


- สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องได้ทดสอบขับเสียก่อน อย่าตัดสินใจซื้อเมื่อไม่มีโอกาสได้ทดสอบขับ เพราะหากมีอะไรไม่ถูกใจหรือไม่ชอบจะได้เปลี่ยนรุ่นหรือยี่ห้อได้


- ควรมีเพื่อนหรือผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับรถไปด้วย เมื่อมีการดูรถควรถ่ายรูปรถของคุณไว้อย่างละเอียดไม่ว่าจะเป็นภายนอก ภายในเครื่องยนต์ ทะเบียน กันชน ไฟหน้า - หลัง รวมทั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวก เช่น แอร์ วิทยุเทปและอื่น ๆ เพื่อเตรียมไว้ในกรณีที่ถูกเฉี่ยวชน โดนขโมย หรือถูก




ส่วนใหญ่ในการซื้อรถใหม่นั้นไม่ค่อยมะไรยุ่งยากมากเท่าใดเพราะรถจะถูกตรวจสอบมาจากโรงงานและเป็นรถใหม่ที่ยังไม่เคยใช้ ประสิทธิภาพก็คงดีอยู่มาก ยังไงแล้วเพื่อความแน่นอนควรตรวจสอบให้ดีก่อนซื้อทุกครั้ง




ทำไมต้องรันอินรถยนต์


เมื่อท่านซื้อรถใหม่สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่จะขาดไม่ได้เลยคือ การรันอิน และการรันอินนั้นจะต้องทำอย่างถูกวิธี เพื่ออายุการใช้งานของรถยาวนานขึ้น แต่ถ้าใช้ผิดวิธีการทำงานของรถจะสั้นกว่าปกติ ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์จะไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งการรันอินนั้นจะแบ่งเป็น 2 ช่วง



ช่วงรันอินที่ 1 ในช่วง 500 กิโลเมตรแรก ควรหาโอกาสขับรถในระยะทางไกล เช่น ไปต่างจังหวัด ขับขี่ด้วยความเร็วปานกลางและนิ่มนวลพยายามอย่าให้เครื่องยนต์ทำงานหนัก หลีกเลี่ยงการใช้โช๊ค อัพในการสตาร์ท ควรเปลี่ยนแปลงความเร็วอย่าใช้อัตราคงที่ ไม่ควรขับด้วยความเร็วจุดใดจุดหนึ่งเป็นเวลานาน เพื่อให้การสึกหรอของเครื่องยนต์เป็นไปอย่างสม่ำเสมอ




ช่วงรันอินที่ 2 จาก 500 กิโลเมตรไปจนถึงราว 3,000 กิโลเมตรแรกหนังสือคู่มือ การรันอินในกิโลเมตรช่วงที่ 2 ( หลัง 500 กิโลเมตรแรกไปแล้วจนถึง 3,000 กิโลเมตร ) ควรขับอย่างนิ่มนวล




การรันอิน คือ การขับขี่ที่อยู่ในระยะทางช่วงใดช่วงหนึ่งที่มีการกำหนดโดยบริษัทรถยนต์หรือช่าง




การเลือกรถที่ใช้แล้ว


ในปัจจุบันตลาดรถยนต์มือสองกำลังบูมอย่างมาก มีการซื้อขายและการประมูลไม่เว้นแต่ละวัน เต็นท์ขายรถต่าง ๆ ก็ผุดขึ้นมารองรับการซื้อราวกับดอกเห็ด ทำ ให้ผู้ซื้อมีโอกาสในการเลือกซื้อมากขึ้นด้วยสนนราคาที่ถูกกว่ารถใหม่คุณภาพ ก็พอใช้ถ้าเลือกกันดี ๆ ซึ่งคนธรรมดาที่มีเงินทองไม่มากนักก็พอที่จะเลือกซื้อมาเป็นของเจ้าของได้ งถึงอุปกรณืชิ้นต่าง ๆ ของรถมือสองกันบ้าง ซึ่งก็บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเป็นรถที่เคยผ่านการใช้งานมาแล้ว ดังนั้นสภาพต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ อุปกรณ์ต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ อุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ต้องมีส่วนลึกหรอบ้าง จะมากบ้างน้อยบ้างก็ขึ้นอยู่กับการใช้งาน และเจ้าของรถเดิมว่าใช้งานถนอมแค่ไหน การรเลือกซื้อรถยนต์ประเภทนี้ต้องคิดมากทีเดียวบางครั้งซื้อแล้วต้องมานนั่งซ่อมอีก ซึ่งเป็นเรื่องไม่คาดคิดมาก่อนเพราะตอนแรกดูสภาพดีแต่เมื่อมาใช้งานจริงแล้วปัญหาต่าง ๆ กลับตามมาย เพราะขาดความเข้าใจและไม่รู้หลักในการเลือกซื้อรถยนต์ใช้แล้ว หรืออาจจะเป็นเพราะถูกหลอกจากคนรู้จัก ท่านจึงควรมีความรู้เกี่ยวกับการเลือกซื้อรถยนต์ใช้แล้วบ้างเผื่อท่านคิดจะมีรถแบบนี้ไว้ใช้สักคัน




ขั้นแรกต้องถามตัวเองว่ามีความรู้เกี่ยวกับเครื่องยนต์ รถยนต์ขนาดไหน เคยรู้บ้างไหมว่าอุปกรณ์ต่าง ๆ นั้นมีหน้าที่อะไร ทำอะไรได้บ้างถ้าท่านมั่นใจว่าตัวเองมีประสบการณ์สูงในเรื่องนี้พอที่จะไปดูรถยนต์ด้วยตัวเองและลองขับด้วยตัวเอง ท่านก็สบายใจได้ในขั้นตอนนี้ แต่ถ้าท่านไม่มีความรู้อะไรเลยขับเป็นอย่างเดียว ในกรณีนี้ท่านต้องพึ่งช่างหรือผู้มีความคุ้นเคยกับรถมากกว่าท่าน และมีความสนิทกันไว้ใจได้ ให้เขาพาท่านไปดูรถเพื่อความมั่นใจว่าท่านสามารถซื้อรถในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด




จำไว้เสมอว่าในการเลือกซื้อรถมือสองหรือการตรวจเช็ครถยนต์ต้องเป็นเวลากลางวันเพื่อจะได้สามารถมองเห็นข้อบกพร่องได้ง่าย เมื่อท่านถูกใจและถูกเงินในกระเป๋าแล้ว สิ่งที่ท่านต้องตรวจดูมีด้วยกัน 3 แห่งคือ โครงตัวถัง, ช่วงล่าง, เครื่องยนต์




โครงตัวถัง


โครงตัวถังนับเป็นส่วนประกอบส่วนแรกของรถยนต์ที่ท่านต้องตรวจดูก่อนเป็นอันดับแรก การตรวจนั้นจะเริ่มตั้งแต่ ดูแนวรางน้ำขอบหลังคารถยนต์ ถ้าหากว้างหรือคดแสดงว่าเคยคว่ำมาแล้วอาจเสียศูนย์ ทรงตัวไม่ดีเป็นอันตรายมาก ในส่วนนี้ต้องพยายามสำรวจให้ทั่วหลังคารถด้วยการมองทั้งทางด้านหน้ารถ ท้ายรถ พยายามมองให้ดีเพราะส่วนนี้เป็นสิ่งสำคัญถ้าหลังคายุบหรือคดจะทำให้รถหมุนได้ถ้าวิ่งด้วยความเร็วสูงหรือโดนลมปะทะแรง ๆ แต่ในบางครั้งรถที่เคยคว่ำก็อาจจะทำหลังคามาใหม่ทำให้มองม่ออกเหมือนกัน ก้ต้องพิจารณาให้รอบคอบอีกที




- ตรวจรอยสนิมกัดกินผุกร่อน บริเวณบังโคลนหน้า รอบดวง โคมไฟ ทั้งสองข้าง สนิมเป็นอันตรายอย่างมากสำหรับรถยนต์ ซึ่งจะลามไปทั่วถรถ้าปล่อยทิ้งไว้ รอยสนิมจะเกิดได้มากที่สุดบริเวณบังโคลนหน้า แต่ในบางคร้งอาจจะถูกซ่อมมาเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นต้องตรวจดูด้วยการเอามือลูบบังโคลนด้านใน ซึ่งในส่วนนี้จะไม่สามารถปกปิดได้ เพราะจะมีร่องรอยการซ่อมหลงเหลืออยู่ใช้มือลูบก็พบ ท่านต้องพิจารณาว่าซื้อมาแล้วต้องเสียเงินเพิ่มหรือไม่


- ตรวจรอยสนิมบริเวณบังโคลนหลังขอบด้านใน บริเวณนี้ก็เช่นเดียวกันกับบังโคลนหน้า คือ เกิดสนิมได้ง่ายเชนเดียวกัน การตรรวจก็เช่นเดียวกัน ใช้มือลูบด้านใน รอยการซ่อมหรือปะผุจะมีเหลืออยู่ให้เห็น


- ตรวจรอบโคมไฟท้ายทั้ง 2 ข้าง มีรอยสนิมมากน้อยเพียงใดส่วนของไฟท้ยก็เป็นสนิมง่าย ต้องตรวจให้ละเอียดว่ามีรอยสนิมมากน้อย และต้องเสียค่าซ่อมต่าง ๆ มากหรือไม่ ถ้าซื้อไปแล้วจะคุ้มมั๊ย


- ตรวจดูรอยผุส่วนท้ายรถที่ขอบฝากระโปรง และที่ติดใกล้กับกันชน ต้องเปิดฝากระโปรงออกมาแล้วตรวจดู และอย่าลืมดูที่บริเวณกันชนติดกับกระโปรงรถส่วนท้ายด้วย พยายามตรวจดูให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้


- ตรวจรอยผุบริเวณประตูรถตอนขอบด้านล่าง และที่ตัวถังของพื้นล่างสุด บริเวณประตูก็จะเกิดสนิมได้ง่ายเช่นเดียวกัน ต้องตรวจดูที่ประตูทุกบานหารอยผุว่ามีมากหรือน้อย การเปิด ปิดในส่วนต่าง ๆ ของขอบประตูและกระโปรงหลังทำให้ได้สะดวกหรือไม่


- ตรวจดูใต้ท้องรถ อาจให้ยกรถขึ้นโดยใช้ขาตั้งแล้วท่านเข้าไปตรวจดูใต้ท้องรถ แต่อาจใช้วิธีเปิดพรมยางในรถทั้งหมด แล้วตรวจหาดูรอยผุหรือส่วนที่เสียหายต่าง ๆ


- ตรวจดูระบบท่อไอเสีย ให้อยู่ในสภาพที่ดี ไม่มีรอยแตกหรือสนิมกัดกร่อนจนเกือบจะผุพัง


ช่วงล่าง


ช่วงล่างตรงนี้สำคัญมากในการเลือกซื้อรถใช้แล้ว เพราะช่วงล่างจะส่งผลต่อการขับขี่ ในด้านการทรงตัวขณะเลี้ยวหรือวิ่งด้วยความเร็วสูง ถ้าเครื่องช่วงล่างไม่ดีอาจจะเกิดอุบัติเหตุง่ายเมื่อใช้รถ การตรวจช่วงล่างจะเริ่มตั้งแต่




- ในการตรวจช่วงล่างต้องยกรถให้สูงขึ้น เพื่อความสะดวกในการตรวจใต้ท้องรถและสามารถมองเห็นทุกจุดได้ชัดเจน ท่านควรตรวจใต้ท้องรถด้วยตัวท่านเองถ้าท่านพอมีความรู้เกี่ยวกับรถยนต์บ้างโดยให้เริ่มตรวจตั้งแต่ห้องเกียร์ ช๊อคอัพ แหนบ พวงมาลัย เฟืองท้าย และช่วงลล่างในส่วนอื่น ๆ ถ้ามีสิ่งใดที่สังเกตผิดจากธรรมดา เช่น มีน้ำไหลออกมาจากบางแห่ง มีส่วนหัก บิด งอ แหนบซ้อนกันไม่เป็นระเบียบ ลองตรวจดูว่าการใช้งานเป็นเช่นไร แต่ข้อแนะนำว่าการตรวจช่วงล่างขอให้เป็นหน้าที่ของช่างที่ชำนาญและท่านแนะคนพามาจะดีกว่า เพราะในบางครั้งท่านดูเองอาจจะไม่ทราบเท่ากับช่าง


- เพลากลาง ท่านต้องลองเอามือจับเพลากลางแล้วลองหมุนขยับกลับไปกลับมาว่ามีระยะหมุนฟรีมากเพียงใด ถ้ามีระยะฟรีมากนั่นแสดงว่าชิ้นส่วนต่าง ๆ เกี่ยวกับระบบขับเคลื่อนหลวม หรือหมดอายุการใช้งาน


- ตรวจดูยางทั้ง 5 เส้น ซึ่งหมายถึงยางอะไหล่ด้วยวามีการใช้งานมากน้อยเพียงใด ดอกยางสึกมากหรือน้อย จะต้องซื้อใหม่หรือไม่


- ตรวจระบบเบรก ด้วยการลองเหยียบเบรกหรือย้ำเบรกดู1เหยียบเบรกแล้วเบรกจมมิดหายไปแสดงว่าเบรกไม่อยู่ หรือต้องย้ำเบรก หลายครั้งจึงจะเบรกอยู่ในส่วนนี้ต้องทดลองขับดู


- ตรวจดูเข็มไมล์ว่ารถใช้งานมามากน้อยเพียงใด ตรวจดูการสึกหรอของยางเบรกและคลัตช์เปรียบเทียบกับตัวเลข ซึ่งอาจถูกแก้ไขจำนวนกิโลเมตรที่วิ่งก็ได้


- ตรวจพวงมาลัย ด้วยการหมุนกลับไปกลับมา เพื่อจะดูช่วงฟรีของพวงมาลัยว่ามีมากน้อยเพียงใด ถ้าช่วงฟรีมากอาจจะเกิดจากช้นส่วนต่าง ๆ ของระบบบังคับเลี้ยวหลวม ก็ต้องเสียเงินเพิ่มมากขึ้น ในการซ่อม


เครื่องยนต์


เครื่องยนต์นับเป็นหัวใจสำคัญของรถยนต์ทั่วไป ยิ่งในรถยนต์ใช้แล้วเครื่องยนต์เป็นสิ่งสำคัญมาก เครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพสมบูรณ์จะสามารถลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้มาก และยังเป็นการช่วยให้ผู้ใช้รถเกิดความสะดวกสบายมากขึ้นอีก การตรวจเครื่องยนต์นั้นจะเริ่มจากฝาครอบลิ้นด้านบน,ปะเก็นฝาสูบ,อ่างน้ำมันเครื่อง, เพลาข้อเหวี่ยงหน้าเครื่อง, ก๊อกถ่าย น้ำมันเครื่องซึ่งอยู่ในอ่างและตามท่อต่าง ๆ หม้อกรองน้ำมันเครื่องและอื่น ๆ อีก ฯลฯ




ใน ส่วนนี้ให้ใช้ผ้าสะอาดเช็ดตามจุดต่าง ๆข้างบนการเช็ดก็เพื่อจะตรวจดูรอยรั่วของส่วนประกอบด้านบนว่าน้ำมันเครื่อง หรือน้ำมันหล่อลื่นไหลซึมออกมาหรือไม่ ควรตรรวจให้ละเอียดอย่าง ช้า ๆ เพราะเครื่องยนต์เป็นตัวจักรขับเคลื่อนต้องทำงานหนักที่สุดจึงควรสังเกตุได้ดี เครื่องยนต์ที่ดีไม่ควรจะมีน้ำมันเครื่องหรือน้ำมันหล่อลื่นไหลออกมา ถ้ามีควรตรวจดูว่าเป็นส่วนไหนของเครื่องยนต์เป็นส่วนสำคัญหรือไม่ และรั่วมาจากสาเหตุใด เพราะแตกร้าวหรือปะเก็นไม่ดีเพื่อจะได้คิดราคาค่าซ่อมได้ถูกต้อง




ส่วนที่ต้องซ่อมต่อมาคือ ตรวจระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์อย่างเช่น หม้อน้ำ ตรวจดูรอยรั่วต่าง ๆ ข้อต่อที่มีปลอกเหล็กรัดดูว่ามีน้ำรั่วซึมหรือไม่ จุดที่ต้องตรวจดูก็คือ หม้อน้ำหรือรังผึ้ง ท่อยางต่อเข้าเครื่องยนต์เพื่อถ่ายเทน้ำ ท่อยางด้านล่างที่ต่อเข้ากับตัวปั๊ม มีพัดลมหมุนได้ด้วยสายพาน จะต้องมีความตึงพอดี ไม่อย่างนั้นแล้วจะระบายความร้อยไม่ดี




ส่วนต่าง ๆ ที่บอกมาทั้งหมดนี้เป็นการตรวจเช็คสภาพรถยนต์โดยรวมและต้องตรวจตราอย่างถ้วนถี่โดยละเอียด ถ้าให้ดีควรให้ช่างมาตรวจสอบให้ดีจะดีกวาเพื่อความแน่นอน





การทดลองขับ


เมื่อ ตรวจสอบของเรื่องภายในและภายนอกของรถยนต์ทุกส่วนแล้วคราวนี้ก็คงต้องมาถึง การทดลองขับดูเพื่อเป็นการทดลองกำลังของเครื่องยนต์และการทำงานของระบบช่วง ล่างว่าสามารถทำงานได้ดีมากน้อยแค่ไหน การทดลองขับนั้นจะทำให้ทราบถึงระบบชิ้นส่วนของรถยนต์ ระบบน้ำมันเชื้อเพลิงและระบบจุดระเบิดว่าสามารถใช้งานได้ดีหริไม่ ซึ่งในส่วนนี้ท่านต้องมีความชำนาญในการขับรถยนต์มาก่อน สิ่งที่สังเกตในหการทดลองขับรถคือ




- ระบบกันสะเทือนใช้ได้ดีหรือไม่ การทำงานอยู่ในสภาพใด เมื่อตกหลุมหรือเลี้ยวมีอาการผิดปกติหรือไม่ ถ้ามีการสะเทือนมากแสดงว่าช๊อคอัพหรือแหนบไม่ดี


- ลองเบรกห้ามล้อดูว่าใช้งานได้ดีหรือไม่ ระยะทำการเบรกการเหยียบเบรกมีความสัมพันธ์กันมากมายน้อยเพียงใด ถ้าเหยียบแล้วเบรกจมหายต้องย้ำหลายครั้งแสดงว่าเบรกมีปัญหาต้องตรวจเช็คเบรก


- ระบบส่งกำลังยังให้แรงดีหรือขัดข้องประการใด เมื่อขณะเร่งให้สังเกตุดูว่าเครื่องยนนต์ส่งกำลังมีความแรงขนาอไหน ทันอกทันใจหรือไม่ การเข้าเกียร์ยากหรือปล่าว


- พวงมาลัยหนักเบาแค่ไหน สาเหตุอาจจะมาจากยางแบน แต่ถ้ายางไม่แบนก็อาจจะมาจากการเสียหายของชิ้นส่วนภายใน อันนี้ต้องตรวจเช็คให้ละเอียด




ถ้าท่านเป็นผู้ชำนาญในการขับขี่จะสามารถการสังเกตการผิดปกติของรถยนต์ได้ง่ายด้วยความรู้สึกของท่าน แต่ถ้าท่านไม่เป็นผู้ชำนาญควรให้ผู้มีความรู้เป็นผู้ช่วยขับแทน




ในการซื้อรถยนต์ใช้แล้ว ( มือสอง ) สักคันหนึ่ง จะกลายเป็นการเพิ่มภาระหรือลดภาระของท่านนั้นขึ้นอยู่กับขั้นตอนต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นโดยที่ท่านเป็นผู้ตัดสินใจเลือกอีกครั้ง ท่านควรจะเลือกอย่างใจเย็นไม่ควรใจร้อน ให้ถือคติช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม เพราะถ้าขาดความรอบคอบแล้วท่านอาจจะได้รถที่ไม่ดี เมื่อ เลือกซื้อรถยนต์ได้แล้วก็อย่าลืมดูแลรักษาให้ดีมีสภาพพร้อมใช้งานเนื่องจาก สิ่งเหล่านี้จะทำให้รถของท่านใช้งานได้อย่างคุ้มค่าและยาวนานตามอายุการใช้ งาน

ซื้อรถมือสองมาแล้วทำอย่างไรต่อ?

เมื่อคุณเก็บหอมรอมริดได้เงินครบจะไปดาวน์รึซื้อสดรถคันโปรดมาแล้ว บางทีอาจเป็นรถคันแรกของบ้านคุณ แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป บทความนี้จะบอกให้ทราบว่ามือใหม่(แต่)รถไม่ใหม่นั้น ควรจะทำอย่างไรบ้างเมื่อคุณขับคันนี้กลับมาที่บ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว



1. ทำความรู้จัก



อย่าตกใจว่าทำความรู้จักกับใคร ไม่ใช่ช่างซ่อมหรือคนขายคนสวยแน่นอน แต่ที่ต้องรู้จักก็คือรถของคุณนั่นเอง สิ่งที่คุณต้องรู้จักดังต่อไปนี้


- รุ่นของรถ/ปี บ่อย ครั้งที่เราไปซื้ออะไหล่รถเองแล้วถ้าเราไม่รู้ชื่อรุ่นที่แม่นยำเกิดปัญหา แน่นอนอย่างเช่น เพราะรถชื่อรุ่นเดียวกันแต่อาจใช้เครื่องยนต์ต่างกันก็มีไม่น้อย เรื่องอย่างนี้ถือเป็นเรื่องหญ้าปากคอกที่ทำให้เจ้าของรถที่เรียกตัวเองว่าเซียนเหงื่อแตกมาหลายคนแล้ว เวลาไปซื้ออะไหล่รถที่ตัวเองขับอยู่ทุกวัน


- เครื่องยนต์ คุณควรรู้ขนาดซีซีของเครื่องยนต์และจำนวนวาวล์ ชื่อบล็อกของเครื่องยนต์ของรถคุณ เช่นใช้มิตซู-แลนเซอร์ บล็อก 4G63 ตัวเลขเพียงไม่กี่ตัวกลับบอกความแตกต่างของรุ่นได้มากมาย ถ้าไม่รู้เปิดฝากระโปรงรถดูส่วนใหญ่จะมีเขียนรายละเอียดเอาไว้ บางคนเถียงว่าดุจากคู่มือรถก็รู้ แต่ก็ทราบกันดีว่าคู่มือการใช้รถนั้นน้อยนักที่จะตกมาถึงมือของเจ้าของรถมือสองมือสามอย่างเราๆ


- จุดวัดระดับน้ำมัน-น้ำยาต่างๆ คุณต้องรู้ว่าอันไหนเป็นจุดวัดระดับน้ำมันเครื่อง น้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์ น้ำมันเบรก น้ำยาแอร์ หม้อน้ำรถ หม้อพักน้ำ น้ำฉีดกระจก น้ำกลั่นแบตเตอรี่ ฯลฯ อย่างน้อยเราต้องรู้ว่าจะวัดระดับตรงไหนอย่างไร มีรุ่นน้องที่ทำงานชอบถกเถียงเรื่องรถกับผมบ่อยๆ เมื่อสัปดาห์ก่อนได้ซื้อรถมือสองมาใหม่คุยเรื่องระบบต่างๆของรถราวกับท่องมาซะยืดยาว แต่เปิดฝากระโปรงรถให้ผมดู ก่อนจะถามว่าที่ดูระดับน้ำมันเครื่องมันอันไหนกันแน่อันนี้อาการหนักจริงๆ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ต้องรู้คือ


- ดูระดับน้ำมันเครื่องตรงไหน Max – Min


- เติมน้ำหม้อน้ำตรงไหน ควรเติมในหม้อพักและไม่ให้มากไปนักที่สำคัญควรเปิดน้ำที่หม้อน้ำดูด้วยว่าเต็มรึเปล่าที่สำคัญต้องไม่ทำตอนเครื่องร้อนอันตราย


- ดูระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่ ต้องเปิดดูทุกช่องเติมไม่ต้องล้นเพียงแต่เติมให้พอดีกับพลาสติคที่เป็นลิ้นลงไปในช่องก็เพียงพอแล้ว ห้ามอย่าเติมจนล้น


- ดูระดับน้ำฉีดกระจกด้วย ถ้าแห้งจะทำให้ปั้มฉีดน้ำเสียหายได้ อันนี้บอกให้ลูกๆมาช่วยเติมได้เป็นการสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวได้เป็นอย่างดี


- ดูระดับน้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์เป็น บางรุ่นไม่ต้องเปิดฝาก็รู้สามารถดูได้จากข้างกระปุกมีขีดบอกระดับ มีคำเตือนเล็กน้อยอยู่บริเวณฝาอ่านบ้างก็ดี


- ดูระดับน้ำมันเบรก บางครั้งไม่ต้องถึงกับเปิดฝามาดูเพราะมีขีดบอกสามารถมองเห็นจากภายนอกเช่นกัน


- ดูระดับน้ำยาแอร์ ดูจากกระปุกพักน้ำยาแอร์สังเกตกระปุกที่มีท่ออะลูมีเนียมรึทองแดงต่อเข้านั้นแหละมีเลนซ์ สังเกต ถ้าน้ำยาแอร์เต็มเราจะไม่เห็นว่ามีอะไรในเลนซ์นั้นเลยแต่ถ้าเมื่อไหร่เห็นใน เลนซ์นั้นมีน้ำวิ่งๆเมื่อไหร่ อย่าคิดว่าน้ำยาแอร์เต็มนะครับนั้นคือน้ำยาแอร์หมดแล้วละครับ ไปร้านแอร์ให้ตรวจเช็คเลย



2. เปลี่ยนซะให้เรียบ



- น้ำมันเครื่องและใส้กรองน้ำมันเครื่อง บ่อยครั้งรถจากเต็นท์นั้นเค้าไม่ได้เปลี่ยนน้ำมันเครื่องมาให้ บางครั้งพึ่งเปลี่ยนมาถือว่าเป็นโชคดีไป แต่ ถ้าให้ดีถ้าเราดึงสายวัดออกมาแล้วน้ำมันเครื่องเหนียวๆ ไม่หยดติ๋งๆ เปลี่ยนไปเถอะครับเพื่อความสบายใจ ถ้าเปลี่ยนแล้วขับรถกลับบ้านมาดึงเข็มวัดออกมาเห็นน้ำมันเครื่องทำไมขุ่นซะ แล้วให้คุณดีใจไว้เลยว่าน้ำมันเครื่องนั้นดีเพราะสามารถดึงเขม่าที่จับกับ ชิ้นส่วนในเครื่องออกมาได้เป็นอย่างดี รวมถึงเปลี่ยนใส้กรองน้ำมันเครื่องด้วยไม่แนะนำไปใช้ใส้กรองจากปั้มเพราะ สมัยนี้ใส้กรองของเทียมมีเยอะอายุการใช้งานสั้นกว่า (ไม่ใช่ว่าใช้ไม่ได้) ใครรักรถมาแนะให้ใช้ของแท้แต่ผมชอบใช้ของเทียบเพราะมีคุณภาพพอๆกันและอาจดีกว่าด้วยซ้ำไป ว่างๆผ่านไปแถววรจักรก็ไปซื้อซะ ถือว่าเป็นการหัดทำความรู้จักกับร้านอะไหล่ไว้ ดูด้วยว่าต้องแถมแหวนยางโอริงมาด้วยแต่อย่าไปคิดว่าเอามาใช้กับกรองน้ำมันเครื่องล่ะ โอริงนี้ไว้ใช้กับน็อตที่เป็นก๊อกปิด-เปิดอ่างน้ำมันเครื่องของเราต่างหาก เวลาให้ช่างใส่ดูกับเค้าด้วย ก่อนใส่แนะว่าให้เอาน้ำมันเครื่องเรานี่แหละทาขอบยางของกระปุกกรองด้วยกันยางเบี้ยวออกมาเวลาขันเข้า


- ใส้กรองอากาศ ส่วนใส้กรองอากาศก็เป่าซะ แนะให้เป่าเองตามปั้มเจ็ทที่มีที่เป่าอากาศตรงที่เราเติมลม มีหลายคนขับรถมาจนแก่เป่าอากาศยังไม่เป็น การเป่ากรองอากาศต้องเป่าจากในออกนอก ห้ามเป่าจากข้างนอกเข้าในเด็ดขาด ถึงแม้เป่าแล้วฝุ่นกระจายดีแต่นั้นคือการทำให้กรองอากาศของเราตันไปเลย แต่ถ้าเก่าแล้วเปลี่ยนไปเลยซักอันได้เลยไม่ได้แพงอะไรนัก สำหรับมือใหม่ระวังจะถอดไม่เป็นให้สังเกตสลักยึดให้ดี ดึงออกให้ครบไม่ต้องออกแรงมากนักพอประมาณเดี๋ยวพวกสายอากาศจะหลุดแล้วใส่กลับไม่ถูก


- ใส้กรองเบนซิน สุดท้ายใส้กรองเบนซินอันนี้แนะนำให้เปลี่ยนเลยไม่กี่ตังค์ จะได้ไม่ต้องมาโอดครวญภายหลังว่ารถเร่งไม่ขึ้น กระตุกเป็นช่วงๆ แต่อันนี้แนะนำไปให้ช่างเปลี่ยนให้ อย่าลืมถามความรู้เล็กๆน้อยๆจากช่างด้วยตามที่ผมว่ามาหากยังสงสัย เห็นมั้ยว่านอกจากจะได้เปลี่ยนกรองเบนซินแล้วยังได้ความรู้อีกต่างหาก



3. ตรวจอะไรที่มันยุ่งๆที่ห้องเครื่องอีกที



ลองตรวจดูที่สายพานไดฯ สายพานแอร์ สายหัวเทียน หัวเทียน ให้ช่างคนที่เปลี่ยนกรองเบนซินเราเมื่อสักครู่นั้นแหละดูให้ คิดดูว่าเปลี่ยนกรองเบนซินอันเดียวได้ประโยชน์มากมาย หากสายพานอันไหนเก่าหมดสภาพแล้วเปลี่ยนซะมีราคาไม่ถึงร้อยถึงร้อยกว่าบาท แต่แพงกว่านั้นไปร้านอื่นเหอะ สายหัวเทียนเก่ารึเปล่า หากเก่ามากๆขาดแล้วพันๆเทปมาละก็เปลี่ยนไปเลย ให้เค้าเช็คหัวเทียนด้วยเพียงแต่เอามาล้างปรับเขี้ยวก็พอใช้ได้อีกนาน หัวเทียนไม่ใช่ของเสียง่าย หมดอายุง่ายอายุการใช้งานราว 20,000 กม. ( 2000 กม.) หากเจอช่างที่ดี แต่ถ้าเยินจริงๆเปลี่ยนก็ได้เพราะราคาถูกมากๆ ตัวเราเองก่อนกลับบ้านแวะไปตามห้างซื้อน้ำอเนกประสงค์มาติดรถไว้ก็ดีไว้ฉีดพวกขั้วแบตฯ ขั้วหัวเทียน จานจ่าย(ถ้าไม่รู้จักว่าอันไหนไปถามช่างคนเดิมอีกนั่นแหละ) เวลาเก็บอย่าเอาไปไว้ที่ร้อน เกิดตูมตามขึ้นมาไม่รู้ด้วย



4. คราวนี้มาดูที่ช่วงล่างกันบ้าง



- ถ่วงล้อ อัน นั้นถือว่าเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆที่หลายคนมองข้ามเพราะเมื่อเราใช้ความเร็ว สูงขึ้นหน่อยรถกลับสั่นๆ อาจนึกไปถึงช่วงล่างอื่นๆ แต่ความจริงปัญหามันแค่เพียงถ่วงล้อเท่านั้นเอง ผมแนะให้ไปถ่วงล้อที่เรียกว่า ถ่วงจี้ เพราะเท่าที่ทำมาได้ผลดีพอสมควร ดีกว่าการถอดล้อไปถ่วงข้างนอก สังเกต ด้วยว่าบางครั้งน็อตล้อเราอาจเป็นคนละแบบทำให้การถอดล้อไปถ่วงไม่แม่นยำแต่ ถ้าให้ดีก็เปลี่ยนน็อตให้มันเหมือนกันให้หมดเลยจะดีกว่า ก่อนถ่วงบอกให้ช่างแกะหินที่ติดล้อออกให้ด้วยนี่ก็เป็นผลให้การถ่วงล้อไม่แม่นยำ แนะให้ไปถ่วงหลังไปล้างรถจากปั้มใหม่ เพราะโคลนที่ติดล้อก็เป็นอีกปัจจัยนึงเช่นกัน เคยแนะให้รุ่นน้องที่มีปัญหาที่ว่าไปถ่วงจี้มาหลายคนส่วนใหญ่จะบอกว่ายังกับได้รถใหม่มาแน่ะ


- ยางรถ ดูว่าดอกยางยังเต็มๆดีหรือไม่ ไม่ จำเป็นก็ไม่ต้องเปลี่ยนถามจากร้านยางดูก็ดีถ้าร้านที่ดีบ่อยครั้งเค้าจะ บอกว่าใช้ได้อีกนานแต่ถ้าเค้าบอกว่าเปลี่ยนเถอะให้สังเกตว่าดอกยางเรายัง เต็ม ยางยังไม่เสียรูป แก้มยางยังสวย เนื้อยางยังสดอยู่หรือไม่ ไม่แนะนำให้ไปทำตามปั้มแต่ก็ตามใจหากใครอยากลองดู การเติมลม ควรเติมซัก 27-28 หากอยากได้ความนิ่มนวลและ 30 หากต้องการประหยัดน้ำมันได้อีกนิดหน่อยในการวิ่งแบบรถไม่ติด อย่าลืมเติมลมยางอะไหล่ด้วยแนะให้เติมเกินปกติไว้ 2 ปอนด์ (ประมาณ 32 ปอนด์) เพราะไม่ได้เติมบ่อยๆ แนะอีกนั้นแหละให้ไปเติมที่ปั้มเจ็ทเพราะเครื่องวัดแบบดิจิตัลค่อนข้างแม่นยำกว่าร้านยางซะอีกและอย่าลืมอุดหนุนเค้าบ้างก็ดี


- เช็คช่วงล่าง ไปอู่ที่รับทำช่วงล่างให้เค้ายกรถตรวจพวก ยางหุ้มแร็คช่วงล่างอื่นๆ เพราะบางครั้งเปื่อยๆแล้วเปลี่ยนไปเลยราคาไม่ถึง 300-400 บาท ถ้าขาดขึ้นมาแต่เราไม่รู้จะลำบาก ทั้งทรายทั้งโคลนหลุดเข้าไปละก็เสียมากกว่านี้อีกมาก ให้ช่างตรวจลูกหมาก-คันชัก-คันส่ง-ปีกนก โยกๆแล้วหลวมๆหรือไม่แต่พวกนี้ถ้าไม่หลวมมากเอาไว้ตอนได้โบนัสออกหรือกู้สหกรณ์ได้ก่อนค่อยมาเปลี่ยนก็ได้ หากยังพอใช้ได้



5. มาดูภายในรถกันบ้าง



- หากรถมีกลิ่น แนะนำว่าให้เราจอดรถตากแดดหมุนกระจกลงมาเล็กน้อยทำซ้ำๆหลายวันช่วยได้บ้าง หาน้ำหอมมาใส่รถบ้างบางทีไม่เหม็นโดนเหงื่อเราไปซักพักจนกลิ่นติดเบาะ สงสารคนมานั่งรถเราบ้าง แนะนำอย่าสูบบุหรี่ในรถเพราะเขม่าจากบุหรี่กับกำมะหยี่ทั้งหลายในรถเรารักกันมากทั้งสีทั้งกลิ่น


- ยางรองพื้น บางทีเต็นท์ให้มาเฉพาะยางแผ่นเล็กทำให้ทรายกระจายฝังในพรม แนะ ให้ใช้ยางที่เป็นรูปแอ่งๆ ไม่สวยนักแต่สะอาดอย่าบอกใครไม่มีทรายกระเด็นออกด้วยหรือถ้ากำลังทรัพย์มีก็ เอาแบบที่มีขายตามห้างที่มีเฉพาะรุ่นก็ได้


- น้ำยาต่างๆ หาซื้อน้ำยาต่างๆเช่นแชมพูล้างรถ ยาขัดเบาะ ยาขัดสีรถ หัดทำเองบ้างจะได้รู้จุดอ่อนของตัวถัง-สีรถเราเอง


- เสียงดังหน้าคอนโซล อันนี้สืบเนื่องาจากรถใช้มาหลายปีเกิดจากการเคยถูกถอดคอนโซลเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง แต่การหาจุดนี่ยากที่สุดพวกนี้ต้องค่อยๆหาแล้วหาซื้อตัวยึดพลาสติคตามวรจักรมาใส่แทนได้หากของเก่าแตกหรือหลวมรึไม่มีเลย



6. สังเกตกันบ้าง



- ซื้อรถมาวันแรกผมแนะนำให้ล้างเลยไปให้โดนน้ำฉีดแรงๆ ตามคาร์แคร์ ถึงแม้เต็นท์จะขัดสีรถมาสวยงามสักปานใด เพราะรถหลายคันพึ่งไปสาดสีมาทั้งคัน การประกอบขอบยางกันน้ำซีลซิลิโคนประตูและกระจกหน้า-หลังต่างๆ อาจ ทำมาไม่ดีพอเพราะทำเองในอู่สีไม่ได้ทำที่ร้านกระจกที่ชำนาญกว่าบ่อยครั้งที่ น้ำไหลเข้ารถเป็นถังๆ เวลาฝนตกจะได้รีบซ่อมเองหรือให้เต็นท์ทำให้หากตกลงกันไว้แล้ว


- แอร์ หากได้ยินเสียงแต็กๆ ดังติดๆกันขณะเปิดแอร์ทำให้รอบเครื่องเราขึ้นๆลงๆ ให้ช่างเช็คดูช่างที่เก่งๆ จะยังไม่วิ่งไปดูที่คอมแอร์ แต่จะตรวจที่ตัวปรับระดับความเย็นที่ภาษาช่างแอร์เรียกรางเลื่อน (Slice volume) เพราะรถเก่าแล้วพวกนี้จะสึกรึหมดอายุเปลี่ยนซะราคา 300-400 บางทีไม่ถึงกับต้องไปยุ่งกับคลัชแอร์หรอกครับ ร้านทำแอร์ผมชอบร้านที่แท็กซี่เค้าชอบไปทำกันเพราะราคาไม่แพงคุยกันได้ แต่ไม่ใช่ร้านที่แท็กซี่ไม่เข้าไม่ดีนะครับ อย่าง ผมใช้ทั้งสองร้านเพราะที่เจอความชำนาญร้านอาแปะของผมเนี่ยเก่งเข้าขั้นเลยที เดียวแต่ราคาเอาเรื่องเหมือนกันเวลาเข้าซ่อมถามไว้เลยว่าเท่าไหร่ ต่อไปเถอะลดได้นิดหน่อยดีกว่าไม่ลดเลย ซ่อมบ่อยๆ ชำนาญขึ้นเดี๋ยวก็รู้ราคาไปเอง


- ตรวจดูหลอดไฟรถ ไฟหน้าสูง-ต่ำ ไฟหรี่ ไฟท้าย-ไฟเบรก ไฟกระพริบซ้ายขวา ไฟถอย ไฟทะเบียน ติดครบหรือไม่จัดการให้เรียบร้อยสมบูรณ์



หากมีอะไรนอกเหนือจากนี้ต้องเช็คต้องเปลี่ยนคงต้องอาศัยการเอาใจใส่ และความช่างสังเกตจากตัวคุณเอง ย้ำต้องดูแลอย่างสม่ำเสมอไม่ใช่แค่เพียงช่วงแรกๆเท่านั้น หมั่นหาความรู้เสมอๆควรให้คนในครอบครัวมีส่วนร่วมด้วย สร้างความสัมพันธ์กันโดยมีรถเป็นสื่อนี่ก็ถือว่ารถไม่ใช่แค่เพียงเป็นพาหนะอย่างเดียวใช่มั้ยละครับ